◕‿◕。 ดาราศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตร์แห่งตำรา แต่ทว่ามันคือศาสตร์แห่งการค้นคว้าวิทยาการอันก้าวหน้า ของปวงมนุษยชาติ... NASA spots scorching hot Earth-like planet ◕‿◕。

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

คำถามท้ายบทที่ ๘ เทคโนโลยีอวกาศ

1.เพราะเหตุใดจึงต้องส่งกล้องโทรทรรศน์ขึ้นไปโคจรรอบโลกในการศึกษาวัตถุท้องฟ้า

กล้องโทรทรรศน์ที่ส่งขึ้นไปพร้อมยานอวกาศนั้น จะมีอุปกรณ์สำคัญติดตั้งไปกับกล้อง คือ ระบบคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายภาพมุมกว้าง เครื่องตรวจวัดสเปกตรัม เครื่องปรับทิศทางของกล้อง ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากกล้อง จะทำให้เราได้เห็นรายละเอียดต่างๆ ของวัตถุท้องฟ้า ช่วยให้เกิดความเข้าใจถึงส่วนประกอบในระบบสุริยะ การกำเนิดของดาวฤกษ์ โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงของกาแล็กซี



2.ยานขนส่งอวกาศปล่อยดาวเทียมสื่อสารให้เข้าสู่วงจรโคจรได้อย่างไร

ยานขนส่งอวกาศปล่อยดาวเทียมสื่อสารให้เข้าสู่วงโคจรได้ โดยให้อยู่เหนือผิวโลก 35,880 กิโลเมตร ในระดับนี้ดาวเทียมจะเคลื่อนที่รอบโลกเร็วเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเอง ดาวเทียมสื่อสารจึงปรากฏอยู่ที่ตำแหน่งเดิมบนท้องฟ้าตลอดเวลา

3.ท่านคิดว่าการอาศัยอยุ่ในอวกาศของมนุษย์อวกาศเป็นระยะเวลานานๆ มีผลกระทบจ่อมนุษย์อวกาศเหล่านั้นอย่างไรบ้าง

การอาศัยอยู่ในอวกาศของมนุษย์อวกาศ ภายในสภาพแวดล้อมแห่งความถ่วงของอวกาศ นักบินอวกาศจะพยายามดำเนินชีวิตประจำวันให้เหมือนอยู่บนโลกมากที่สุด แต่เนื่องจากไม่ถูกดึงดูดจากแรงโน้มถ่วงของโลก จึงมีสภาพไร้น้ำหนัก การกิน การนอน และการออกกำลังกายจึงมีปัญหาและถ้าอยู่ในอวกาศ เป็นระยะเวลานานๆ จะมีผลต่อกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อทุกส่วนจะมีขนาดเล็กลง ระบบสูบฉีดโลหิต หัวใจทำงานช้าลง กระดูกจะมีความหนาแน่นน้อยลง กระดูกจึงเปราะและแตกหักง่าย


4.การสำรวจอวกาศมีผลดีและผลเสียต่อมนุษย์และโลกอย่างไร

การสำรวจอวกาศมีผลดีต่อมนุษย์และต่อโลกคือ ช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องต่อไปนี้

1. ส่วนประกอบในระบบสุริยะ

2. การกำเนิดของดาวฤกษ์

3. โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงของกาแล็กซี

4. วิวัฒนาการของเอกภพ

5. การกำเนิดของโลก

6. หาคำตอบว่า มนุษย์เกิดมาได้อย่างไร

7. การป้องกันโลกไม่ให้เกิดอันตรายจากการชนของวัตถุในอวกาศ

ผลเสียที่มีต่อมนุษย์และต่อโลก

1. สิ้นเปลืองงบประมาณ

2. เกิดอันตรายต่อมนุษย์ หากดาวเทียมหรือยานอวกาศตกลงมาสู่พื้นโลก เช่น สถานีอวกาศเมียร์


6.ที่ระดับความสูงจากผิวโลก 3,620 กิโลเมตร ยานอวกาศจะต้องมีความเร็วเท่าไร จึงหลุดออกไปนอกโลกได้


ตอบ 8.66 กิโลเมตรต่อวินาที

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

คำถามท้ายบทที่ ๗ ระบบสุริยะ

1. เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์รุ่นหลัง

ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลาที่เกิดจากแรงโน้มถ่วงของเนบิวลาเอง ทำให้ที่แกนกลางของเนบิวลาที่ยุบตัวลงนี้ จะมีอุณหภูมิสูงกว่าที่ขอบนอก เมื่ออุณหภูมิแกนกลางสูงมากขึ้น เป็นหลายแสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า “ดาวฤกษ์ก่อนเกิด” (protostar) หลังจากที่ดวงอาทิตย์เพิ่งกำเนิดขึ้นมาจะคงสภาพที่ใหญ่กว่าปัจจุบันเล็กน้อย อุณหภูมิที่แกนกลางสูงขึ้นไปถึง 15 ล้านเคลวิน และปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ได้เริ่มต้นขึ้น หลอมนิวเคลียสไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียม เมื่อเกิดความสมดุลระหว่างแรงโน้มถ่วงกับแรงดันของแก๊สร้อน ทำให้ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์สมบูรณ์ จึงกล่าวได้ว่า ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์รุ่นหลัง

2. ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะมิวิวัฒนาการอย่างไร

ดวงอาทิตย์เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลา ซึ่งการยุบตัวนี้เกิดจากแรงโน้มถ่วงของเนบิวลาเอง เมื่อแก๊สยุบตัวลง ความดันของแก๊สจะสูงขึ้น ผลที่ตามมา คือ อุณหภูมิของแก๊สจะสูงขึ้นที่บริเวณแกนกลางเป็นหลายแสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า “ดาวฤกษ์ก่อนเกิด” เมื่อแรงโน้มถ่วงถึงให้แก๊สยุบตัวลงไปอีก อุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 15 ล้านเคลวิน ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ (thermonuclear reaction) หลอมนิวเคลียสไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียม เมื่อเกิดความสมดุลระหว่างแรงโน้มถ่วงกับแรงดันของแก๊สร้อนจะทำให้ดวงอาทิตย์มีความสมบูรณ์ขึ้น
วิวัฒนาการของดวงอาทิตย์มีดังนี้ คือ เมื่อธาตุไฮโดรเจนที่ใช้เป็นเชื้อเพลงเหลือน้อย แรงโน้มถ่วง เนื่องจากมวลของดวงอาทิตย์สูงกว่าแรงดัน ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่าเดิมเป็น 100 ล้านเคลวิน จนเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์หลอมรวมนิวเคลียสของธาตุฮีเลียมเป็นนิวเคลียสของคาร์บอน ในขณะเดียวกันไฮโดรเจนที่อยู่รอบนอกแกนฮีเลียม มีอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านเคลวิน จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์หลอมไฮโดรเจนเป็นฮีเลียมครั้งใหม่ได้พลังงานออกมาอย่างมหาศาล ทำให้ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 100 เท่าของขนาดปัจจุบัน เมื่อผิวด้านนอกขยายตัว อุณหภูมิผิวจะลดลง สีจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง เรียกว่า ดาวยักษ์แดง ซึ่งมีชีวิตค่อนข้างสั้น ที่แกนกลางของดวงอาทิตย์ซึ่งอยู่ในสภาพดาวยักษ์แดง ในช่วงท้ายของชีวิตจะไม่เกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ที่หลอมฮีเลียมเป็นคาร์บอนอีกต่อไป แรงโน้มถ่วงจะทำให้แกนกลางของดาวยักษ์แดงยุบตัวลง กลายเป็นดาวแคระขาว ขณะเดียวกันกับที่แกนกลางเกิดการยุบตัว มวลของผิวดาวรอบนอกไม่ได้ยุบเข้ามารวมด้วย จึงมีชั้นของแก๊สหุ้มอยู่รอบ เกิดเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ ซึ่งจะเคลื่อนห่างออกไปจากดาวแคระขาว กระจายออกไปในอวกาศ

3. เพราะเหตุใดโลก ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวพุธ จึงถูกจัดเป็นดาวเคราะห์หินและเกิดได้อย่างไร

เพราะโลก ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวพุธ ต่างเป็นดาวเคราะห์ ที่มีพื้นผิวเป็นพื้นหินแข็งชัดเจน ดาวเคราะห์หินเกิดจากตอนที่ดาวเคราะห์เพิ่งกำเนิดขึ้นเมื่อ 4,600 ล้านปีมาแล้ว มีภูเขาน้ำแข็งและก้อนหินจำนวนมากที่เหลือจากการสร้างดวงอาทิตย์อยู่ในบริเวณที่เป็นดาวเคราะห์หินในปัจจุบัน ต่อมาอีก 500 ล้านปี วัตถุก้อนใหญ่ก็ดึงก้อนเล็กเข้าหา เกิดการชนกันพอกพูนจนใหญ่โตขึ้น เศษที่เหลืออยู่มีจำนวนน้อยลง ขณะเดียวกันวัตถุที่ระเหยง่ายหรือเบา เช่น น้ำและไฮโดรเจน ก็ถูกพลังงานจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ผลักดันให้ออกไปอยู่ที่ชั้นนอกของระบบสุริยะ ดังนั้น ดาวเคราะห์ชั้นในจึงเป็นหิน

4. เพราะเหตุใดดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน จึงถูกจัดเป็นดาวเคราะห์ยักษ์และเกิดได้อย่างไร

เพราะมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแก๊สไฮโดรเจนหรือแก๊สแอมโมเนียและมีเทน ไม่มีพื้นผิวดาวชัดเจน ภายในดาวเคราะห์ยักษ์ เป็นแก๊สความดันสูงหรือแก๊สเหลว ซึ่งมักมีอุณหภูมิและความดันสูงมาก มีขนาดใหญ่ ดาวเคราะห์ยักษ์เกิดขึ้นเนื่องจากในขณะที่ระบบสุริยะกำลังเกิดขึ้นนั้น ดาวเคราะห์ยักษ์ขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าดาวเคราะห์หิน ซึ่งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ เพราะอยู่ในบริเวณที่เย็นกว่า ก้อนสารที่รวมกันอยู่ชั้นนอกของระบบสุริยะรวมถึงก้อนน้ำแข็งสกปรกและแก๊สที่แข็งตัว เป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ยักษ์ด้วย เมื่อเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์ ความร้อนจากดวงอาทิตย์จะทำให้สารที่ระเหยง่าย เช่น น้ำ ระเหยออกจากดาวเคราะห์ชั้นใน เหลือแต่ส่วนที่เป็นหินแข็งและโลหะ เมื่อวัตถุที่เป็นของแข็งในตอนเริ่มต้นมีขนาดใหญ่กว่าแรงโน้มถ่วงที่สูงของดาวที่กำลังโตขึ้น จึงดึงดูดเอาแก๊สจำนวนมากไว้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นดาวเคราะห์ยักษ์

5. ดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง อยู่บริเวณใดของระบบสุริยะ และเกิดได้อย่างไร

ดาวเคราะห์น้อย จะโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ในระบบสุริยะ
ดาวหางอยู่รอบนอกของระบบสุริยะ
ดาวเคราะห์น้อยเกิดจากเศษที่เหลือจากการพอกพูนของดาวเคราะห์หิน ถูกแรงรบกวนของดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกิดมาก่อน ทำให้มวลสารในบริเวณแถบของดาวเคราะห์น้อยจับตัวกันมีขนาดใหญ่ไม่ได้ จึงปรากฏมีแต่ดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กๆ จำนวนมาก ดาวหาง เกิดจากเศษเหลือจากดาวเคราะห์ยักษ์ที่ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งและแก๊สแข็งตัวหลายชนิด รวมทั้งฝุ่นที่ปะปนอยู่ เมื่อก้อนน้ำแข็งนี้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์จะได้รับรังสี ทำให้เกิดการระเหิดของวัตถุบางส่วน เกิดการพุ่งกระจายของธุลี และแก๊สออกมาจากนิวเคลียสหรือแกน เป็นส่วนหัวของดาวหางและส่วนหาง

6. การระเบิดจ้าบนดวงอาทิตย์คืออะไร มีผลกระทบต่อโลกหรือไม่ อย่างไร

ปรากฏการณ์การระเบิดจ้าบนดวงอาทิตย์ (Solar Flare) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการระเบิดบนผิวของดวงอาทิตย์ การระเบิดจ้ามักเกิด ณ บริเวณที่เป็นจุด ซึ่งดวงอาทิตย์จะเกิดจุดมากที่สุดทุกๆ ประมาณ 11 ปี ช่วงที่มีจุดมากจะมีการระเบิดจ้ามากด้วย ทำให้อนุภาคโปรตอนและอิเล็กตรอนถูกปลดปล่อยจากดวงอาทิตย์ เป็นจำนวนมากกว่าปกติ เรียกว่า พายุสุริยะ
การระเบิดจ้ามีผลต่อโลก คือ การเกิดแสงเหนือ - แสงใต้ เกิดไฟฟ้าแรงสูงดับในประเทศที่อยู่ใกล้ขั้วโลก เกิดการติดขัดทางการสื่อสารโดยเฉพาะวิทยุคลื่นสั้นทั่วโลก และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในดาวเทียมอาจถูกทำลาย

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

คำถามท้ายบทที่ ๖ ดาวฤกษ์

๑. ดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความเหมือนและแตกต่างกันในเรื่องใดบ้าง
๒. หลุมดำคืออะไร ต่างจากดาวนิวตรอนอย่างไร
๓. เนบิวลาคืออะไร และเกี่ยวข้องกับดาวฤกษ์อย่างไร
๔. ธาตุต่างๆในโลกและในตัวเรา เกิดจากที่ใด
๕. ดาวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์เดียวกัน อยู่ห่างจากโลกเท่ากันหรือไม่
๖. ดาวตานกอินทรีมีโซติมาตร 0.76 ดาววีกามีโชติมาตร 0.03 ดาวหางหงส์มีโชติมาตร 1.25 ดาวปากหงส์มีโชติมาตร 3.36 จงเรียงลำดับดาวฤกษ์ที่สว่างมากสุดไปยังน้อยที่สุด
๗. ดาววีดาแพรัลแลกซ์ 0.129 พิลิปดา ดาววีกาห่างจากโลกกี่ปีแสง


1. ดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความเหมือนและความแตกต่างกันในเรื่องใดบ้าง
ตอบ ดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความเหมือนกันอยู่ 2 อย่าง คือ
1) มีพลังงานในตัวเอง
2) เป็นแหล่งกำเนิดธาตุต่างๆ เช่น ธาตุฮีเลียม ลิเทียม และเบริลเลียม
ดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความแตกต่างกันดังนี้ คือ มวล อุณหภูมิผิว สี อายุ องค์ประกอบทางเคมี ขนาด ระยะห่าง ความสว่าง ระบบดาว และการวิวัฒนาการ

2. หลุมดำคืออะไร ต่างจากดาวนิวตรอนอย่างไร
ตอบ หลุมดำ (Black hole) คือ บริเวณในอวกาศที่มีแรงโน้มถ่วงสูง ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสงสว่าง ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ก็ออกจากหลุมดำไม่ได้ เมื่อไม่มีแสงออกมาหลุมดำจึงมืด
หลุมดำอาจแบ่งได้เป็นสามจำพวกใหญ่ๆ คือ
1. หลุมดำที่เกิดจากดาวฤกษ์ตายแล้ว เมื่อดาวฤกษ์ที่มวลมากๆ ถึงคราวหมดอายุขัย จะเกิดการระเบิดเป็น ซูเปอร์โนวา หากหลังการระเบิดยังหลงเหลือมวลสารที่ใจกลางของดาวมากกว่า 3 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ มวลสารใจกลางดาวนั้นจะยุบตัวลงเป็นหลุมดำ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์หลายแห่งในกาแล็กซีทางช้างเผือก เช่น Cygnus X - 1 ในกลุ่มดาวหงส์ ก็เชื่อว่า เป็นหลุมดำชนิดนี้
2. หลุมดำยักษ์ หลุมดำจำพวกนี้จะมีมวลมากมายมหาศาล อาจมีมวลมากนับเป็นหลายพันล้านเท่าของดวงอาทิตย์ ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในใจกลางของกาแล็กซีขนาดใหญ่ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นักดาราศาสตร์พบหลุมดำชนิดนี้อยู่ตามกาแล็กซีขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราด้วย
3. หลุมดำจิ๋ว เป็นหลุมดำที่มีมวลเพียงไม่กี่ร้อยล้านตัน มีขนาดเล็กเพียงขนาดของอะตอมเท่านั้น เกิดขึ้นหลังจากเกิด บิกแบง ได้ไม่นาน หลุมดำชนิดนี้จะมีอายุสั้นและจะสลายตัวด้วยการระเบิด ปลดปล่อยรังสีแกมมาออกมา หลุมดำจิ๋วนี้เป็นหลุมดำในทางทฤษฎี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการค้นพบอย่างเป็นทางการ
ดาวนิวตรอน (Neutron star) คือ ดาวซึ่งมีมวลอยู่ในช่วงระหว่าง 8 ถึง 18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ซึ่งได้ยุบตัวลงเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของตัวเอง องค์ประกอบของดาวประกอบด้วยนิวตรอนล้วนๆ ดาวนิวตรอนมีขนาดเล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงประมาณ 10 กิโลเมตร และมีความหนาแน่นประมาณ 1017 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ดาวนิวตรอนสามารถตรวจพบได้ในรูปของ พัลซาร์

3. เนบิวลาคืออะไร และเกี่ยวข้องกันกับดาวฤกษ์อย่างไร
ตอบ เนบิวลา คือ กลุ่มแก๊สและฝุ่นที่เกิดขึ้นในอวกาศภายในกาแล็กซี
เกี่ยวข้องกันกับดาวฤกษ์ คือ ดาวฤกษ์เกิดจากการยุบรวมตัวของเนบิวลา หรือกล่าวอีกอย่างว่า เนบิวลา เป็นแหล่งกำเนิดของดาวฤกษ์ทุกประเภท

4. ธาตุต่างๆ ในโลกและในตัวเรา เกิดจากที่ใด
ตอบ ธาตุต่างๆ ในโลกเกิดจากการระเบิดของกลุ่มแก๊สภายในดวงดาว เช่น การระเบิดภายในดาวฤกษ์ที่มีความร้อนและความดันมหาศาล ที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา ทำให้เกิดธาตุหนัก เช่น ยูเรเนียม หรือทองคำขึ้นได้
ธาตุต่างๆ ในตัวเราเกิดจากพืชสร้างอาหารขึ้นโดยวิธีสังเคราะห์แสง เมื่อเรารับประทานพืชก็จะได้สารอาหารที่ทำให้เกิดธาตุต่างๆ ขึ้นภายในตัวเรา

5. ดาวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์เดียวกัน อยู่ห่างจากโลกเท่ากันหรือไม่
ตอบ ดาวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์เดียวกัน จะอยู่ห่างจากโลกเท่ากัน เพราะการกำหนดรูปร่างของกลุ่มดาว จะถือเอาดาวฤกษ์ที่สว่างบางดวงในกลุ่มดาวแต่ละกลุ่มเป็นตัวกำหนด ทำให้แพรัลแลกซ์หรือความเหลื่อมของมุมในกลุ่มดาวฤกษ์เท่ากัน จึงอยู่ห่างจากโลกเท่านั้น

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

คำถามท้ายบทที่ ๕ เอกภพ

๑. เพราะเหตุใดนักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยกับทฤษฎีบิกแบง ที่ใช้ในการอธิบายการเกิดเอกภพ
๒. มีธาตุอะไรมากที่สุดในเอกภพ
๓. เอกภพประกอบไปด้วยระบบที่เล็กกว่า อะไรบ้าง
๔. เมื่อเอกภพมีอายุประมาณ 300,000 ปี มีธาตุอะไรเป็นองค์ประกอบสำคัญ
๕. หลักฐานใดที่แสดงว่าเอกภพกำลังขยายตัวอยู่ในปัจจุบัน
๖. กฎฮับเบิลมีว่าอย่างไร
๗. ถ้าค่า H0 = 70 km/s mp/c แล้วเอกภพจะมีอายุและรัศมีประมาณเท่าใด
๘. คลื่นไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศสนับสนุนทฤษฎีบิกแบงอย่างไร
๙. การแลกซีคืออะไร และมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
๑๐. กาแลกซีทางช้างเผือกมีเส้นผ่านศุนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง คิดเป็นระยะทางกี่กิโลเมตร
๑๑. ทางช้างเผือกกับกาแลกซี่ทางช้างเผือก เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
๑๒. การแลกซี่แมกเจลแลนใหญ่แตกต่างจากกาแลกซี่แอนโดรเมดาอย่างไรบ้าง



1. เพราะเหตุใด นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยกับทฤษฎีบิกแบง ที่ใช้อธิบายกำเนิดเอกภพ
ทฤษฎีบิกแบงมีหลักฐานหรือปรากฏการณ์ที่สนับสนุนอยู่ 2 อย่าง
1) การขยายตัวของเอกภพ
2) อุณหภูมิพื้นหลังของเอกภพ ปัจจุบันลดลงเหลือ 2 - 73 เคลวิน
จากหลักฐานทั้ง 2 ข้อ จึงทำให้นักดาราศาสตร์เห็นด้วยกับทฤษฎีบิกแบง

2. ธาตุอะไรมีมากที่สุดในเอกภพ
ธาตุที่มีมากที่สุดในเอกภพคือ ธาตุไฮโดรเจน

3. เอกภพประกอบด้วยระบบอะไรบ้าง
เอกภพประกอบด้วยระบบสุริยะและระบบกาแล็กซี

4. เอกภพเมื่ออายุประมาณ 300,000 ปี มีธาตุอะไรบ้างเป็นองค์ประกอบสำคัญ
ธาตุไฮโดรเจน และธาตุฮีเลียม

5. กาแล็กซีคืออะไร และเคลื่อนที่อย่างไร
กาแล็กซี คือ อาณาจักรหรือระบบของดาวฤกษ์จำนวนนับแสนล้านดวงอยู่รวมกันด้วยแรงโน้มถ่วงระหว่างดวงดาวกับหลุมดำที่มีมวลมหาศาล ซึ่งอยู่ ณ ศูนย์กลางของกาแล็กซี โดยมีเนบิวลาซึ่งเป็นกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง ที่เกาะกลุ่มอยู่ในที่ว่างบางแห่งระหว่างดาวฤกษ์ กาแล็กซีมีการเคลื่อนที่โดยหมุนรอบตัวเอง

6. กาแล็กซีทางช้างเผือกมีระยะจากขอบหนึ่งผ่านจุดศูนย์กลางไปยังอีกขอบหนึ่งประมาณ 100,000 ปีแสง คิดเป็นระยะกี่กิโลเมตร
1 ปีแสง คิดเป็นระยะทางประมาณ = 9.5 × × 1012 กิโลเมตร
105 ปีแสง คิดเป็นระยะทางประมาณ = 9.5 × × 1012 × × 105 กิโลเมตร
ดังนั้น คิดเป็นระยะทาง = 9.5 × × 1017 กิโลเมตร

7. ทางช้างเผือกกับกาแล็กซีทางช้างเผือก ต่างกันอย่างไร
ทางช้างเผือก เกิดจากดาวฤกษ์หลายหมื่นล้านดวงที่มาอยู่รวมกัน เห็นเป็นแนวฝ้าขาวจางๆ ขนาดกว้างประมาณ 15๐ พาดผ่านเป็นทางยาวรอบท้องฟ้า
กาแล็กซีทางช้างเผือก ประกอบด้วยดาวฤกษ์ 200,000 ล้านดวงและเมฆฝุ่นกับแก๊สที่เรียกว่า เนบิวลา รวมทั้งระบบสุริยะ ทางช้างเผือกเป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซีทางช้างเผือก

8. กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่แตกต่างจากกาแล็กซีแอนโดรเมดาอย่างไรบ้าง
กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่ จะโคจรรอบทางช้างเผือกที่ระยะห่างประมาณ 200,000 ปีแสง เป็นกาแล็กซีแบบไร้รูปทรงหรือมีรูปร่างไม่แน่นอน มีความสว่างมากจนสามารถมองเห็นได้คล้ายกับก้อนเมฆในยามค่ำคืน อยู่ใกล้ขอบฟ้าทิศใต้ เป็นกาแล็กซีที่อยู่ใกล้เราที่สุด
กาแล็กซีแอนโดรเมดา มองเห็นอยู่ในบริเวณท้องฟ้าทางเหนือ มีรูปร่างแบบกังหัน เหมือนกาแล็กซีทางช้างเผือก กาแล็กซีแอนโดรเมดาอยู่ห่างจากกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราไกลประมาณ 2 ล้านปีแสง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า M31 หรือ NGC 224

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

5. จากแนวการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีต่างๆ จะมีผลต่อภูมิประเทศของโลกอย่างไรในอนาคต

5. จากแนวการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีต่างๆ จะมีผลต่อภูมิประเทศของโลกอย่างไรในอนาคต
อย่างที่เพื่อนๆได้ทราบกันไปแล้วว่า การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีมีทั้งหมด 3 รูปแบบคือ การที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ชนกัน แยกออกจากกัน และเฉือนกัน จะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของทวีปอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจะส่งผลต่อภูมิประเทศของโลกไม่ว่าจะเป็น ถ้าชนกันจะมีโอกาสเกิดทั้งภูเขาไฟ เทือกเขาสูงใหม่ๆใรโลก หรืออาจจะเกิดแนวภูเขาไฟและแผ่นดินไหวที่รุนแรงในอนาคต ในกรณีที่แยกออกจากกัน เราอาจพบภูเขาไฟรูปโค้งเพิ่มขึ้นบนโลกมากขึ้น หรือในกรณีที่แยกออกจากกันจะเกิดแนวเลือนทรานฟอร์มที่มากมายกว่าในยุคปัจจุบัน ดังนั้นจึงจะถือได้ว่า จากแนวการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี ย่อมเกิดผลกระทบต่อภูมิประเทศต่างๆของโลกแน่นอน

As I have already known that The movement of the Earth has three types of tectonic plate collision cell separation and slash will cause the movement of the continent, certainly. It will affect the landscape of the world is. If you have a chance of collision with Earth. Emerging from another in the high mountains. Volcanoes and earthquakes, or may be severe in the future. In the case apart. We may see the volcanic arc on the increase even more. In the case apart is the fuzzy transition and form than in modern times. Thus, it can be considered. From the motion of the Earth. Would affect the way the geography of the world.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รอยโค้ง รอยแตก รอยเลื่อนในหินมีลักษณะเหมือนกันหรือไม่

รอยโค้ง รอยแตก รอยแยก มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนดังนี้
1. รอยโค้ง หรือ Fold เป็นการโค้งงอของหินซึ่งมี 2 รูปแบบคือ ชั้นหินคดโค้งรูปประทุน กับ รูปประทุนหงาย โดยสองอย่างนี้ต่างกันคือโดยถ้าเป็นรูปประทุนจะมีแต่สันคลื่น ส่วน รูปประทุนหงาย จะมีแต่ท้องคลื่นนั่นเอง

2. รอยโค้ง หรือ Fault ระนาบรอยแตกตัดผ่านหินซึ่งมีการเคลื่อนที่ผ่านกัน มี 3 รูปแบบคือรอยเลื่อนปกติ รอยเลื่อนย้อน รอยเลื่อนตามแนวระดับ

3. รอยแตก ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะเกิดรอยเลื่อน เมื่อระนาบรอยแตกๆ หลายๆรอยแตกมารวมกัน เป็นรอยเลื่อนนั่นเอง

1. Trace the curve or bend Fold the two types of rock strata dip curve, the hood with the hood up. Two very different if the hood is the hood up, but short-wave part. But it is the wavelength.

2. It bends or cracks Fault plane cut through the rock, which is moving through the three different types of faults are normal. Reverse faults. Along the fault.

3. Fractures as part of the fault. When I crack plane. Many cracks together. There is a fault.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

เพราะเหตุใดปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหว มักเกิดตามเขตมุดตัวของแผ่นธรณี

เพราะเหตุใดปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหว มักเกิดตามเขตมุดตัวของแผ่นธรณี

จากความรู้เรื่อง วงจรการพาความรู้ที่ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากทฤษฎีเรื่อง วงจรการพาความร้อนเรารู้แล้วว่าเมื่อเกิดวงจรการพาความรู้ ทำให้หินหนืดเกิดการประทุปล้วเกิดหารเย็นตัวลง มาเป็นชั้นธรณี ทำให้แผ่นธรณีภาคเก่าโดนดันตัวจากชั้นธรณีภาคใหม่ ด้วยแรงดัง(ความเค้น และความเครียด) ทำให้รอยต่อของช่วงเวลานี้ทำให้เกิดแผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด

We know that when the cycle is brought about. Hinhnืd make the crackling caused by the long cool down. A layer of earth. The pressure from the Earth and the older I get the new Earth. With the force (stress. And stress) the boundaries of this period, causing an earthquake. And volcanic eruptions.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของทวีปอย่างไร ให้อธิบายและยกตัวอย่างหลักฐานหรือข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นเหตุผลสนับสนุน

นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของทวีปอย่างไร ให้อธิบายและยกตัวอย่างหลักฐานหรือข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นเหตุผลสนับสนุน

การเคลื่อนที่ของทวีปเกิดจากหลายสาเหตุเช่น วงจรการพาความร้อน จะทำให้เปลือกทั้งทั้งมหาสมุทร และเปลือกโลกทวีปเกิดการเคลื่อนตัว โดยวงจรการพาความร้อนือการที่เปลือกโลกบริเวณกลางมหาสมุทร หินในบริเวณเนื้อโลกจะหลอมตัวและแทรกตัวขั้นมาบริเวณชั้นธรณีภาค ชั้นธรณีภาคใหม่ก็จะดันชั้นธรณีภาคเก่าออกไป ทำให้แผ่นธรณีแต่ละแผ่นเกิดการเคลื่อนที่ แต่ทว่าเนื่องจากแผ่นทวัปนั้นมีความหนาแน่นที่ไม่เท่ากัน ทำให้แผ่นธรณีภาคที่มีความหนาแน่นมากกว่ามุดตัวลงไปใน เขตมุดตัวนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นทวีปได้ นอกจากนี้แล้วการเคลื่อนที่ของทวีปก็อาจจะเกิดจาก

1. การที่แผ่นทวีปเคลื่อนที่ชนกัน
เกิดได้สามกรณีคือ ถ้าเกิดว่าแผ่นนํ้า ชนกับแผ่นนํ้า ทำให้เกิดแนวเลือนของภูเขาไฟที่รุนแรง และแนวแผ่นดินไหวที่รุนแรว
2. การที่แผ่นทวีปเกิดการเคลื่อนที่แยกออกจากกัน
เกิดเป็นหุบเขาทรุด
3. เกิดจากการที่แผ่นทวีปนั้นเกิดการเคลื่อนที่ผ่านกัน เกิดเป็นรอยเลื่อนทรานฟอร์ม

จากปัจจัยดังกล่าวที่ผ่านมานี้ ทำให้เปลือกโลกของเราเกิดการเคลื่อนที่ได้ทั้งสิ้น

The movement of the continents due to several reasons such as Cycle of convection. The crust and the ocean. And the continental crust of the movement. This cycle of convection heat to the Earth's North and Central Africa. Mantle rocks in the area will need to insert Hlamtaw and the earth floor. Earth and the Earth, it will push the old floor. The sheets, each sheet of the moving Earth. But because the North Valley to the density is not equal. Earth and the plate with a density greater than descend in Subduction zone, there is one that causes the movement of the continent. In addition, the movement of the continents may be due.

1. The moving continental collision.
The three cases. If the sheet of water. Collision with the water. The fuzziness of the volcano, causing serious. And a severe earthquake and minerals.
2. The movement of the continents split apart.
A valley settlement.
3. Caused by the continental plate is moving through the same. The fault is shown in Fig.

Factors such as past. The tectonic movement of the total.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ร่วมแสดงความคิดเห็น



สวัสดีครับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกดาราศาสตร์ของผมนะครับ
ชื่อผู้จัดทำ นาย มณฑล มีกัมปนาท ชั้น ม.5/4 เลขที่ 7 นะครับ
หากข้อมูลดังกล่าวมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ

บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งรายวิชา ว 32161 วิชาดาราศาสตร์เสนอ
อาจารย์ วิสูตร ยอดสุข

โรงเรียนสมุทรปราการ
จังหวัดสมุทรปราการ

ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 18/09/2554

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หลักฐานที่แสดงว่าทวีปต่างๆ เคยเชื่อมต่อกันมีอะไรบ้าง

1. หลักฐานที่แสดงว่าทวีปต่างๆ เคยเชื่อมต่อกันมีอะไรบ้าง

1) หลักฐานจากรอยต่อของทวีป จากการที่เวเกเนอร์ได้อธิบายว่าการเชื่อมต่อของทวีปนั้นเป็นไปได้อย่างไม่สมบูรณ์เนื่องจากกว่า บริเวณชายฝั่งจะถูกกัดเซาะ แต่ทว่าในปี 2508 นายเซอร์ เอดวาร์ด บูลลาร์ค นักธรณีฟิสิกซ์ชาวอังกฤษได้ใช้ขอบทวีปที่มีความลึกประมาณ 2 กิโลเมตร เพราะว่าขอบชายฝั่งนี้มีการสำรวจว่าโดนกัดเซาะชายฝั่งน้อยที่สุด ซึ่งบริเวณนี้เป็นรอยต่อแนวทวีปซึ่งสามารถต่อกันได้แนบสนิทพอดี

2) หลักฐานจากความคล้ายคลึงกันของกลุ่มหิน และแนวภูเขา ได้สำรวจกลุ่มหินที่เกิดในช่วงยุคคาร์บอนิฟอรัสถึงยุคจุแรสิก พบว่ามีการระเบิดของภูเขาไฟเหมือนกัน แสดงว่าทวีปเหล่านี้ต้องเคยติดกันมาก่อนแน่ๆ

3) หลักฐานจากหินที่เกิดจากการสะสมตัวของตะกอนจากธารนำแข็ง นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษานำ้แข็งในยุคกอนด์วานาที่แผ่นดินถูกปกคลุมด้วยนำ้แข็ง เมื่อมาทำการศึกษาพบว่านำ้แข็งมีอายุรุ่นเดียวกัน รอยขูดที่เกิดจากการเคลื่นที่ของนำ้แข็งเหมือนๆกัน จึงคิดว่าแผ่นดินทั้งหมดเคยเป็นแผ่นเดียวกัน นักวิทยาศาสร์เรียกสมันยำ้แข็งที่เกิดปลายมหายุคพาลีโอโซอิกว่า "สมัยนำ้แข็งคะรู"

4) หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์ จากการที่ได้ศึกษาพื้นดินส่วนกอนด์วานาพบซากดึกดำบรรพ์ที่เหมือนกัน จึงตั้งสมมุติฐานว่าเดิมทีแผ่นดินทั้งหมดหรือพันเจีย เคยเป็นแผ่นดินแผ่นเดียวทั้งหมดมาก่อน


1) Evidence of the boundaries of the continent. News from the Web and has been described as a continent that is going to be incomplete, since more than Coastal areas are being eroded, but in 2508 the Sir Edmond Ward, Bull, Clarke's Earth Physics Deluxe British have used the continent has the depth about 2 km, because the coast is a survey that was. erosion to a minimum. This area is along the seam where the continents can be a close fit.

2) evidence of the similarity of the rocks and mountains to explore the rock group that formed in the carbonic New forum Randy Russell to the hold music. Found that with the explosion of a volcano. Indicate that these continents have been together before it.

3) Evidence of rocks caused by the accumulation of sediment from the glacier ice. Scientists have studied the ice in the world before the land was covered by Nirvana on the ice. The study found that the ice age, the same model. Abrasion caused by the waves of the same ice. I think the whole earth is the same. Scientists in a salad but it's hard at the end of the era so far as Pali. "I know the ice."

4) the evidence of fossils. From the study of the ground before the end Wanaka found fossils of the same. We originally hypothesized that the earth or a thousand piece. Was a single sheet of all the earth before.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

ให้นักเรียนทำแผนผังสรุปโครงสร้างต่อไปนี้ โดยเติมลงในช่องว่างให้สมบูรณ์


ให้นักเรียนทำแผนผังสรุปโครงสร้างต่อไปนี้ โดยเติมลงในช่องว่างให้สมบูรณ์ จากการศึกษาคลื่นไหวสะเทือนสามารถแบ่งโครงสร้างของโลกได้ดังนี้
จากการศึกษาส่วนประกอบทางกายภาพและทางเคมีของหิน และสารค่างๆ สามารถแบ่งโครงสร้างของโลกได้ดังนี้

From the seismic structure of the world can be divided as follows.
Study of the physical and chemical composition of rocks and other substances into the structure of the world below.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลักฐานที่แสดงว่าทวีปต่างๆ เคยเชื่อมต่อกันมีอะไรบ้าง

1. หลักฐานที่แสดงว่าทวีปต่างๆ เคยเชื่อมต่อกันมีอะไรบ้าง

1. หลักฐานจากรอยต่อของทวีป นายเชอร์ บูลลาร์ค นักธรณีฟิสิกซ์ชาวอังกฤษ ได้แสดงให้เห็นว่าสามารถนำทวีปต่างๆมาเชื่อมต่อกันได้
2. หลักฐานจากการคล้ายคลึงกันของกลุ่มหิน และแนวภูเขา พบที่ทวีปอเมริกาใต้ แอนตาร์กติกา แอฟริกา ออสเตเรีย และอินเดีย เกิดในสภาพแวดล้อมบนบกที่หนาวเย็น และมีการระเบิดของภูเขาไฟเหมือนกัน

3. หลักฐานจากหินที่เกิดจากการสะสมตัวของตะกอนจากธารนํ้าแข็ง ปลายยุคมหายุคพลาลีโอโซอิก แผ่นดินที่เคยเป็นส่วนของกอยด์นาวาถูกปกคลุมด้วยแผ่นของนํ้าแข็ง และได้พบหลักฐานที่สนับสนุนว่าทวีปต่างๆเคยต่อเป็นทวีปเดียวกัน

4. หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์ เกิดการพบซากดึกดำบรรพ์สี่ประเภทคือ โซซอรัส ลัสโทซอรัส ไซโนกาทัส กลอสโซพเทรีส ในทวีปต่างๆเช่นเดียวกัน

ดั้งนั้นจากหลักฐานทั้งสี่ข้อนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า ทวีปต่างๆเคยเชื่อมต่อกัน แต่ว่าเกิดการประทะ และแรงกดดันจากความร้อนใต้ผิวโลก จึงแยกตัวกัน และแผ่นโลกที่ไม่สามารถที่จะต่อกันสนิท ก็ได้สันนิษฐานว่าชายฝั่งถูกนํ้าทะเลกัดเซาะ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะต่อกันได้อย่างสนิท


1. Evidence from the boundaries of the continent, Mr. Cherry's travelers will leave Blue Earth Physics St British. Have shown that the continents can be connected together.
2. Evidence from similar rocks and mountain ranges of South America Antarctica Africa found that Australian Maria was born in India and land environment on the cold. And the explosion of the volcano as well.

3. Evidence from the rocks caused by the deposition of sediment from the ice stream. Eons Plas late Leo Ignacio Associates. Land that was part of a Grand Do not be covered by the commander of the ice sheet. And found evidence to suggest that the continents have the same goals.

4. Evidence from the fossil The four types of fossils found So is Saw Saw Tony Russell Square modulus Sino Ka Tasman Gloss Soap only resort on the continent are the same.

Therefore, this evidence from the four scientists to conclude that Had connected the continents. But the sea of ​​Pra. Heat and pressure from below the earth's surface separated themselves and the world sheet can not be close to each other. Has been assumed that the sea-shore erosion. Thus making it impossible to continue to fully close.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง จะเกิดเขตอับคลื่น S ที่ครอบคลุมผิวโลกบริเวณกว้าง นักเรียนจะอธิบายปรากฏกาณ์นี้อย่างไร

เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง จะเกิดเขตอับคลื่น S ที่ครอบคลุมผิวโลกบริเวณกว้าง นักเรียนจะอธิบายปรากฏกาณ์นี้อย่างไร จากความรู้ที่ว่าขณะที่เกิดแผ่นดินไหว ทำให้หิน แผ่นดินเกิดการเคลื่อนคัวมาชนกัน เกิดการถ่ายโอนพลังงานให้ซึ่งกันและกัน เกิดคลื่นขยายออกจากจุดเกิดแผ่นดินไหวไปบริเวณโดยรอบ แต่ว่าองค์ประกอบภายในของโลกมีความหนาแน่นที่ไม่เท่ากัน ทำให้คลื่นทั้งสองนั้นเคลื่นที่ได้ไม่เท่ากัน เนื่องจากว่าคลื่น P นั้นสามารถผ่านได้ทุกสถานะ(จากข้อ 2)จึงมึความเร็วมากกว่าทำให้เกิดเขตอับคลื่น s เนื่องจากคลื่น s สามารถผ่านได้เฉพาะของแข็งเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวจะเกิดทำให้เกิดเขตอับคลื่น s เพราะว่าคลื่น s ไม่สามารถที่จะผ่านตัวกลางทีมีสถานะเป็นของเหลวได้นั้นเอง

From the knowledge that when an earthquake rocks the earth movement caused the collision roasted. The transfer of power to each other. Waves extend from the earthquake to the surrounding area. However, the internal elements of the world are not the same density. Both are making waves transmitted to the unequal Since the P waves can pass through each state (from the article. 2) is faster than the cause confined area due to wave s wave s is only through solids only. So when an earthquake will cause waves confined area s because s is not able to wave through a liquid medium that has its own status.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

คลื่น P และ S มีความแตกต่างกันอย่างไร

จากคำถามคลื่น P และ S มีความแตกต่างกันอย่างไร
คลื่น P สามารถเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางได้ทุกสถานะ และมีความเร็วมากกว่าคลื่น S
คลื่น S สามารถเคลื่อนที่ผ่านได้เฉพาะตัวกลางที่เป็นของแข็งเท่านั้น


Primary waves Can travel through any intermediate state. And faster than the wave S.
Secondary waves Can only move through the solid medium only.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

คำตอบ หินต้นกำเนิดแมกมาส่วนใหญ่อยู่บริเวณชั้นเนื้อโลกตอนบนให้นักเรียนบอกประเภท และส่วนประกอบของหินกำเนิดแมกมา

จากคำถาม หินต้นกำเนิดแมกมาส่วนใหญ่อยู่บริเวณชั้นเนื้อโลกตอนบนให้นักเรียนบอกประเภท และส่วนประกอบของหินกำเนิดแมกมา หินแมกม่านั้นเป็นหินที่ถูกความร้อน และและถูกดันออกปะทะออกมานอกเปลือกโลก ซึ่งหินที่ออกมาเมื่อเย็นตัวลงจะกลายเป็นหินภูเขาไฟได้แก่

หินไรโอไลต์ เกิดจากการเย็นตัวของลาวาที่มีความหนืดมาก มีปริมาณซิลิกามากกว่า 66 เปอร์เซ็นต์
หินแอนดีไซต์ มีปริมาณซิลิกาอยู่ในช่วง 52-66 เปอร์เซ็นต์ เกิดในลักษณะเดียวกับหินไรโอไรต์ แต่มีองค์ประกอบของแมกนีเซียมและเหล็กมากกว่า จึงมีสีเขียวเข้ม
หินบะซอลต์ เป็นหินอัคนีพุ เนื้อละเอียด เกิดจากการเย็นตัวของลาวาที่มีความหนืดน้อย มีปริมาณซิลิกาอยู่ในช่วง 45-52 เปอร์เซ็นต์ มีสีเข้มเนื่องจากประกอบด้วยแร่ไพร็อกซีนเป็นส่วนใหญ่
หินออบซีเดียน เกิดจากหินหนืดที่มีซิลิกาสูงมากทำให้มีความหนืดสูง


ที่มา: th.wikipedia.org/wiki/หินภูเขาไฟ
ภาษาอังกฤษ

Questions from the magma source rocks are located mainly at upper mantle level students to describe Components of rocks and magma. Magma stone is a stone that is heat And the pressure is off and strike off the earth. This rock cools off when it became a pumice were.

(Ryolite) caused by cooling of the lava is very viscous. More than 66 percent silica content.
(Andesite) sites silica content in the range of 52-66 percent in the same manner as the Old Stone what Wright. But there are elements of magnesium and iron over Is dark green.
(Basalt) is a fine granite output caused by the cooling of the lava is less viscous. Amount of silica in the range of 45-52 percent due to a dark mineral consisting prime rock scene mainly
(Obsedian) Commons. Caused by magma with high silica to high viscosity.

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พบดาวเคราะห์เหมือนโลกเราแล้ว แต่ทว่า...


นับแต่ที่นักดาราศาสตร์ค้นพบเมื่อสองทศวรรษก่อนว่า ดาวฤกษ์ที่มีดาวเคราะห์เป็นบริวารไม่ได้มีแต่เพียงดวงอาทิตย์เท่านั้น ทำให้ความหวังที่จะพบดาวเคราะห์ที่มีสิ่งมีชีวิตนอกเหนือจากโลกของเราได้ทอประกายขึ้นอีกครั้ง

แต่ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ที่นักดาราศาสตร์พบมา ซึ่งจนขณะนี้ก็มีกว่า 500 ดวงแล้ว เกือบทั้งหมดมักเป็นดาวเคราะห์แก๊สยักษ์แบบดาวพฤหัสบดี ซึ่งไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้ สิ่งที่นักดาราศาสตร์ต้องการหาก็คือ ดาวเคราะห์ที่คล้ายโลก นั่นคือต้องเป็นดาวเคราะห์หิน ไม่ใช่แก๊ส มีขนาดและมวลไม่ต่างจากโลกมากนัก

ด้วยเหตุนี้ โครงการเคปเลอร์ จึงได้เกิดขึ้น เคปเลอร์เป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศของนาซา มีหน้าที่ค้นหาดาวเคราะห์แบบโลกที่เป็นบริวารของดาวฤกษ์ดวงอื่น กล้องนี้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อสองปีก่อนด้วยความหวังว่า จะได้พบดาวเคราะห์หินขนาดเล็ก ๆ แบบโลกบ้าง
และแล้วเคปเลอร์ก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ต้องผิดหวัง หลังจากการเก็บข้อมูลนานกว่าแปดเดือน ในที่สุดก็ได้พบดาวเคราะห์ดวงใหม่ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นที่มีขนาดเล็กมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่เคยพบมา ดาวเคราะห์ดวงนี้มีชื่อว่า เคปเลอร์-10 บี (Kepler-10b) อยู่ห่างจากโลกไป 560 ปีแสง มีขนาดประมาณ 1.4 เท่าของโลกเท่านั้น ซึ่งถือว่าใกล้เคียงโลกมากที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นเท่าที่เคยพบมา
แต่ที่ไม่ใกล้เคียงเลยคืออัตราการโคจรรอบดาวฤกษ์ เวลาหนึ่งปีของดาวเคราะห์ดวงนี้ยาวนานเพียง 0.84 วันของโลกเท่านั้นเอง นั่นเพราะดาวดวงนี้มีรัศมีวงโคจรเล็กมาก เล็กกว่ารัศมีวงโคจรของดาวพุธถึง 23 เท่า และด้วยเหตุที่อยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากนี่เอง จึงทำให้มันร้อนมาก อุณหภูมิด้านกลางวันสูงถึง 1,370 องศาเซลเซียส ร้อนพอที่จะหลอมเหล็กได้ แน่นอนว่าไม่ต้องไปถามว่ามีสิ่งมีชีวิตหรือไม่
แม้การค้นพบครั้งนี้ จะไม่ได้ให้ความหวังอะไรเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต แต่ก็ถือว่าเป็นการค้นพบที่สำคัญยิ่ง เพราะได้แสดงถึงศักยภาพอันโดดเด่นของเคปเลอร์ในการค้นหาดาวเคราะห์ที่มีขนาดใกล้เคียงโลกมากแบบนี้ได้
วิธีการหาดาวเคราะห์ของเคปเลอร์ใช้หลักการที่เรียกว่า การผ่านหน้า เมื่อดาวเคราะห์ผ่านหน้าดาวฤกษ์ จะบดบังแสงจำนวนส่วนหนึ่งไป ซึ่งตรวจจับได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่มีความไวแสงสูงมาก การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงความเข้มแสงจะบอกได้ว่าวัตถุที่มาบังนั้นมีคาบโคจรเท่าใด รวมถึงขนาดและมวลด้วย
เคปเลอร์มีอาวุธเด็ดคือกล้องที่มีเซนเซอร์ซีซีดี 95 เมกะพิกเซล ซึ่งเป็นกล้องที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยขึ้นสู่อวกาศ
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบหลักฐานว่าระบบสุริยะของ เคปเลอร์-10 นี้อาจมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งร่วมอยู่ด้วย สมมุติฐานนี้มาจากการพบเหตุการณ์ที่คล้ายกับมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าดาวฤกษ์ทุก 45 วัน ดาวเคราะห์ดวงนี้อาจมีขนาดใหญ่กว่าโลกสองเท่าเศษ แต่หลักฐานส่วนนี้ยังไม่หนักแน่นเท่าดวงแรก

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

ใครว่า คนเราอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากดวงอาทิตย์ ไม่จริง!!!


ดาวเคราะห์สามาถมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ แม้ปราศจากแสงอาทิตย์
สิ่งมีชีวิตบนโลก และกลไกลทางชีววิทยาทั้งมวลบนโลก ล้วนขับเคลื่อนได้ด้วยพลังงานจากดวงอาทิตย์ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ดวงอาทิตย์จึงเปรียบเสมือนมารดาของสรรพชีวิตบนโลก หากจะมีดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งในระบบสุริยะอื่นจะมีสิ่งมีชีวิตบ้าง ก็จะต้องอยู่ในเงื่อนไขเดียวกับโลก นั่นคือจะต้องรับพลังงานจากดาวฤกษ์ที่ตนเป็นบริวารอยู่
แต่การศึกษาใหม่โดยนักเอกภพวิทยาจากมหาวิทยาลัยชิคาโกพบว่า ดาวเคราะห์คล้ายโลกก็อาจมีอุณหภูมิสูงพอจะเอื้ออาศัยได้โดยไม่ต้องมีดาวฤกษ์ โดยมีแหล่งความร้อนจากการสลายของธาตุกัมมันตรังสีภายในดาวเคราะห์เอง และมีชั้นน้ำแข็งห่อหุ้มเป็นฉนวน
ต้นกำเนิดของงานวิจัยนี้มาจากความขี้สงสัยของนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมคนหนึ่งที่เกิดสงสัยว่า โลกจะเป็นอย่างไรหากไม่มีดวงอาทิตย์ แนวคิดนี้กระตุ้นให้สหาย เอริก สวิตเซอร์ ซึ่งเป็นนักเอกภพวิทยา เริ่มงานวิจัยเพื่อไขปัญหานี้
ผลการคำนวณของสวิตเซอร์เผยว่า หากไม่มีพลังงานจากดาวฤกษ์แล้ว ดาวเคราะห์แบบโลกจะต้องมีแผ่นน้ำแข็งหนา 15 กิโลเมตรปกคลุมอยู่เพื่อทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนที่เกิดจากการสลายของธาตุกัมมันตรังสีภายในดาวเคราะห์ เช่น โพแทสเซียม-40 ยูเรเนียม-238 และ ทอเรียม-232 รวมถึงพลังงานดั้งเดิมที่ตกค้างมาจากการสร้างดาวเคราะห์ด้วย
หรือหากน้ำแข็งหนาไม่ถึง 15 กิโลเมตร ก็ยังปกป้องความร้อนจากภายในได้ หากมีชั้นบรรยากาศเยือกแข็งเช่นน้ำแข็งแห้ง ซึ่งก็คือคาร์บอนไดออกไซค์เยือกแข็ง ปกคลุมอีกชั้นหนึ่ง
ดาวเคราะห์ที่มีลักษณะเช่นนี้ จะอุ่นพอที่จะให้มีสิ่งมีชีวิตวิวัฒน์และดำรงอยู่ได้
"โลกเราก็อาจมีลักษณะแบบนั้นได้หลังจากที่ดวงอาทิตย์ดับไปแล้วประมาณ 10,000 ล้านปี ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นน้ำในมหาสมุทรจะเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด" โดเรียน แอบบอต นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโกกล่าว
สวิตเซอร์ไม่ได้คาดไปถึงว่า สิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์ที่ไม่มีดาวฤกษ์จะมีลักษณะเช่นใด แต่ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งปกคลุมอาจให้แนวคำตอบนี้ได้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดวงจันทร์ยูโรปาและคัลลิสโตของดาวพฤหัสบดีและเอนเซลาดัสของดาวเสาร์มีชั้นของมหาสมุทรใต้พิภพที่เป็นของเหลวอยู่ มีแหล่งพลังงาน มีน้ำ และมีสภาพเคมีอย่างที่ชีวิตต้องการ
ความคิดว่าอาจมีดาวเคราะห์บางดวงที่พเนจรอย่างอิสระไม่โคจรรอบดาวฤกษ์ไม่ใช่ความคิดที่เพ้อเจ้อเสียทีเดียว นักดาราศาสตร์ได้คำนวณว่าการรบกวนกันเองระหว่างดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ หรือการรบกวนจากดาวฤกษ์ที่ผ่านเข้ามาใกล้ อาจทำเกิดแรงเหวี่ยงให้ดาวเคราะห์หลุดกระเด็นออกจากระบบสุริยะได้
จากแบบจำลองการกำเนิดระบบดาวเคราะห์แสดงว่ามีโอกาสเกิดดาวเคราะห์ประเภทนี้อยู่มากมาย โดยเฉลี่ยแล้วอาจมี 1-2 ดวงต่อระบบสุริยะ
แม้แต่ระบบสุริยะของเราเอง ก็อาจเคยเกิดเหตุการณ์นี้มาก่อน โลกเราอาจเคยมีดาวเคราะห์พี่น้องร่วมครอบครัวที่ลักษณะใกล้เคียงกันแต่ได้หลุดออกจากระบบไปนานแล้ว เพียงแต่ทฤษฎีนี้ยังขาดหลักฐานยืนยันเท่านั้นเอง


ที่มา:
•Orphan Planets Could Support Life - Discovery News

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำถามท้ายบทที่ ๔ ธรณีประวัติ




๑. นักวิทยาศาสตร์ทราบได้อย่างไรว่า ครั้งหนึ่งบนโลกมีไดโนเสาร์อาศัยอยู่
๒. เพราะเหตุใดเราจึงไม่ค่อยพบซากดึกดำบรรพ์ในกลุ่มหินอัคนี และหินแปร
๓. ซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบสามารถบอกอะไรแก่เราได้บ้าง
๔. ซากดึกดำบรรพ์ที่ดีและบ่งชี้อายุหินได้ชัดเจนควรเป็นอย่างไร อธิบายพร้อมยกตัวอย่างเท่าที่ทราบ
๕. การลำดับชั้นหินและซากดึกดำบรรพ์ที่พบ มีความสำคัญอย่างไรกับการศึกษาความเป็นมาของโลก
๖. ถ้านักเรียรสำรวจพบซากดึกดำบรรพ์ของประการังบนยอดเขาแห่งหนึ่ง นักเรียนมีความเห็นเกี่ยวกับการกำเนิดของภูเขานั้นอย่างไร จงอธิบาย

1. นักวิทยาศาสตร์ทราบได้อย่างไรว่า ครั้งหนึ่งบนโลกมีไดโนเสาร์อาศัยอยู่
ตอบ เพราะมีการพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ในชั้นของหิน เช่น ในประเทศไทยมีการพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ ประเภทเดินสี่เท้า กินพืชเป็นอาหาร คอและหางยาว ชื่อว่า ภูเวียงโกซอรัสสิรินทรเน พบครั้งแรกที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น

2. เพราะเหตุใดเราจึงไม่ค่อยพบซากดึกดำบรรพ์ในกลุ่มหินอัคนี และหินแปร
ตอบ เพราะ หินอัคนี เกิดจากการเย็นตัวของแมกมา ซึ่งได้จากการระเบิดของภูเขาไฟ จึงไม่สามารถพบซากดึกดำบรรพ์ได้
หินแปร เกิดจากการแปรสภาพจากหินอัคนี หินตะกอนหรือหินแปรด้วยกันเอง ภายใต้อุณหภูมิ ความดันและสิ่งแวดล้อมทางแร่ ซึ่งหินที่ถูกทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างทันทีทันใดแล้วอุณหภูมิค่อยๆ ลดลง การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมินี้มีผลทำให้หินแตกหักได้ จึ่งไม่สามารถพบซากดึกดำบรรพ์ในหินแปร

3. ซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบสามารถบอกอะไรแก่เราได้บ้าง
ตอบ ซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบสามารถบอกให้ทราบถึงอายุของหิน และสภาวะแวดล้อมในอดีต และทำให้สามารถหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณต่างๆ ได้

4. ซากดึกดำบรรพ์ที่ดีและบ่งชี้อายุหินได้ชัดเจนควรเป็นอย่างไร อธิบายพร้อมยกตัวอย่างเท่าที่ทราบ
ตอบ ซากดึกดำบรรพ์ที่ดี และบ่งชี้อายุหินได้ชัดเจน ได้แก่ ซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (index fossil) เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีวิวัฒนาการทางโครงสร้าง และรูปร่างอย่างรวดเร็ว มีความแตกต่างในแต่ละช่วงอายุอย่างเห็นเด่นชัด และปรากฏให้เห็นเพียงช่วงอายุหนึ่งแล้วก็สูญพันธุ์ไป ได้แก่ ไตรโลไบท์ แกรพโตไลท์ ฟิวซิลินิด เป็นต้น การพบซากดึกดำบรรพ์ไตรโลไบท์ในหินทรายแดงที่เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล ทำให้นักธรณีวิทยาบอกได้ว่า หินทรายแดงนั้นเป็นหินที่มีอายุประมาณ 570 - 505 ล้านปี หรือการพบซากดึกดำบรรพ์ฟิวซิลินิดในหินปูนที่บริเวณจังหวัดสระบุรี ทำให้นักธรณีวิทยาบอกได้ว่า หินปูนนั้นเป็นหินที่มีอายุประมาณ 286 - 245 ล้านปี เป็นต้น

5. การลำดับชั้นหินและซากดึกดำบรรพ์ที่พบ มีความสำคัญอย่างไรกับการศึกษาความเป็นมาของโลก
ตอบ การลำดับชั้นหินและซากดึกดำบรรพ์ที่พบ มีความสำคัญในการศึกษาความเป็นมาของโลก คือ อาศัยอายุเทียบสัมพัทธ์ (relative age) เป็นอายุหินเปรียบเทียบซึ่งบอกได้ว่า หินชุดใดมีอายุมากหรือน้อยกว่ากัน โดยอาศัยข้อมูลจากซากดึกดำบรรพ์ที่ทราบอายุ ลักษณะการลำดับชั้นของหินชนิดต่างๆ และลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาของหิน แล้วนำมาเทียบสัมพัทธ์กับช่วงเวลาทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า ธรณีกาล (geologic time) ก็จะสามารถบอกอายุของหินว่า เป็นหินยุคไหนหรือมีช่วงอายุเป็นเท่าใด
การลำดับชั้นหินเป็นการรวบรวมข้อมูลทางธรณีวิทยาเกือบทุกทางมาใช้ศึกษา วิเคราะห์ และประเมินศักยภาพของพื้นที่ ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ซึ่งทำให้ทราบถึงความเป็นมาของโลก

6. ถ้านักเรียนสำรวจพบซากดึกดำบรรพ์ของปะการังบนยอดเขาแห่งหนึ่ง นักเรียนมีความเห็นเกี่ยวกับการกำเนิดของภูเขานั้นอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ ถ้าพบซากดึกดำบรรพ์ของปะการังบนยอดเขาแห่งหนึ่ง แสดงว่า ในอดีตบริเวณนี้เป็นทะเลน้ำตื้นในช่วงแรกแล้วแผ่ไปสู่ทะเลลึก และเปลี่ยนเป็นทะเลตื้นใกล้ชายฝั่งอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่มีการสะสมตะกอนจากทะเล มีการแข็งตัวของตะกอน ทำให้บริเวณนี้ตื้นขึ้น ต่อจากนั้นเปลือกโลกบริเวณนี้มีการเคลื่อนที่ และมีการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้พื้นที่นี้มีการยกตัวสูงขึ้นเป็นภูเขาในปัจจุบัน

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

คำถามท้ายบทที่ ๓ ปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยา




๑. อธิบายความแตกต่างระหว่างคำต่อไปนี้ "ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว" กับ "จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว"
๒. แนวที่เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณใดของผิวโลก ในประเทศไทยมีแนวที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดหรือไม่ อยู่บริเวณใด
๓. แมกม่าที่แทรกตัวอยู่ตามรอยแตก รอยแยกของหินใต้ผิวโลก เมื่อแข็งตัวจะกลายเป็นหินชนิดใด
๔. อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
๕. ท่านคิดอย้างไรกับคำกล่าวที่ว่า "ภูเขาไฟเปรียบเสมือนหน้าต่างที่สามารถมองเห็นถึงภายในของโลกได้"
๖. บอกประโยชน์และโทษของการเกิดแผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด
๗. อธิบายความหมายของคำต่อไปนี้ ภูเขาไฟมีพลัง และคาบอุบัติช้า


1. อธิบายความแตกต่างระหว่างคำต่อไปนี้ “ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว” กับ “จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว”
ตอบ “ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว” หมายถึง ตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดการไหวสะเทือนของแผ่นดิน หรือตำแหน่งที่เกิดแผ่นดินไหว
“จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว” หมายถึง ตำแหน่งบนผิวโลกที่อยู่เหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว

2. แนวที่เกิดแผ่นดินไหว ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณใดของพื้นผิวโลก ในประเทศไทยมีแนวที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวหรือไม่ อยู่บริเวณใด และมีขนาดมากน้อยเพียงใด
ตอบ แนวที่เกิดแผ่นดินไหว ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณีภาคพื้นผิวโลก
ในประเทศไทยมีแนวที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวในประเทศไทยเกิดจากมีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่นอกประเทศ แล้วส่งแรงสั่นสะเทือนมายังประเทศไทย ส่วนใหญ่จะมีแหล่งกำเนิดจากตอนใต้ของประเทศจีน พม่า ลาว บริเวณทะเลอันดามันและตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในแนวนี้ จะทำให้พื้นที่ในประเทศไทยบริเวณภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกรุงเทพฯ เกิดการสั่นไหวที่รู้สึกได้

3. แมกมาที่แทรกตัวอยู่ตามรอยแตกแยกของหินใต้พื้นผิวโลก เมื่อแข็งตัวจะกลายเป็นหินชนิดใด
ตอบ แมกมาที่แทรกตัวอยู่ตามรอยแตกแยกของหินใต้พื้นผิวโลก เมื่อแข็งตัวจะกลายเป็นหินบะซอลต์ที่มีแร่แทรกปะปนอยู่ หินบะซอลต์จัดเป็นหินอัคนี

4. อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ตอบ สาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
1. เกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกตามแนวระหว่างรอยต่อของแผ่นธรณีภาค ทำให้ชั้นหินขนาดใหญ่แตกหักหรือเลื่อนตัวและถ่ายโอนพลังงานศักย์อย่างรวดเร็วให้กับชั้นหินที่อยู่ติดกันในรูปของคลื่นไหวสะเทือน
2. เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ เนื่องจากในขณะที่แมกมาใต้ผิวโลกเคลื่อนตัวตามเส้นทางสู่ปล่องภูเขาไฟ สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวก่อนที่จะระเบิดออกมาเป็นลาวา
3. เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การทดลองระเบิดปรมาณูใต้ดิน การระเบิดพื้นที่เพื่อสำรวจลักษณะของหิน สำหรับวางแผนก่อสร้างอาคาร และเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น

5. ท่านคิดอย่างไรจากคำกล่าวที่ว่า “ภูเขาไฟเป็นเสมือนหน้าต่างที่สามารถมองเห็นถึงภายในของโลก”
ตอบ เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง เพราะ เมื่อภูเขาไฟระเบิดแต่ละครั้ง จะมีเศษลาวา เศษหิน ฝุ่นละออง และเถ้าถ่าน ลาวาที่ออกมาสู่พื้นผิวโลก จะมีอุณหภูมิสูงถึง 1,200 องศาเซลเซียส ทำให้ทราบว่า ภายในโลกมีความร้อนมาก นอกจากนี้ภายในของโลกยังมีแร่ธาตุต่างๆ อยู่ เมื่อสังเกตจากหินบะซอลต์ หินแอนดีไซต์ หินไรโอไลต์ และหินออปซิเดียน เป็นต้น

6. บอกประโยชน์และโทษของการเกิดแผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด
ตอบ การเกิดแผ่นดินไหวนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนี้
ประโยชน์ของแผ่นดินไหว คือ ทำให้ทราบถึงส่วนประกอบและโครงสร้างของโลก และเกิดที่ราบสูงภูเขาขึ้นใหม่
โทษของแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
ความเสียหายทางตรง เช่น ทำให้เกิดแผ่นดินถล่ม เกิดการยกตัวหรือทรุดตัวลงของแผ่นดิน เกิดรอยแตกแยกในแผ่นดินและการเคลื่อนที่ของแผ่นดิน เกิดไฟไหม้อาคาร บ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างต่างๆ พังทลาย มนุษย์บาดเจ็บและตายเป็นจำนวนมาก
ความเสียหายทางอ้อม จะปรากฏเฉพาะบริเวณที่อยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเล กล่าวคือ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในท้องทะเล จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ที่เรียกว่า สึนามิ (Tsunami) คลื่นดังกล่าวนี้สามารถเคลื่อนที่ไปได้ในระยะไกลมาก และเมื่อเคลื่อนที่เข้าใกล้ชายฝั่งจะทำให้ระดับน้ำสูงจากปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันตามบริเวณชายฝั่ง สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก
ภูเขาไฟระเบิดก่อให้เกิดประโยชน์และโทษ คือ
ประโยชน์ของภูเขาไฟ
1. ช่วยปรับระดับของเปลือกโลกให้อยู่ในสมดุล
2. ช่วยให้หินที่ถูกแปรสภาพมีความแข็งมากขึ้น
3. เกิดแร่ที่สำคัญขึ้น เป็นแหล่งกำเนิดอัญมณีที่มีค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ทับทิม ไพลิน และพลอยอื่นๆ ที่สวยงาม จัดเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและมีชื่อเสียงของประเทศ
4. เป็นแหล่งท่องเที่ยวดึงดูดผู้คนให้ไปเยี่ยมชม
5. ดินที่เกิดจากภูเขาไฟมักจะเป็นดินดี เหมาะแก่การเพาะปลูก
โทษของภูเขาไฟ
ทำลายชีวิต อาคารบ้านเรือน และทรัพย์สินทั้งทางตรงและอ้อม

7. อธิบายความหมายของคำต่อไปนี้ ภูเขาไฟมีพลัง คาบอุบัติซ้ำ
ตอบ ภูเขาไฟมีพลัง หมายถึง ภูเขาไฟที่มีการระเบิดค่อนข้างถี่และอาจจะระเบิดอีก
คาบอุบัติซ้ำ หมายถึง ระยะเวลาครบรอบของแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่นั้น แล้ว กลับมาเกิดซ้ำในที่เดิมอีก อาจเป็นร้อยปีหรือพันปี หรือน้อยกว่า นั้น

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

คำถามท้ายบทที่ ๒ โลกและการเปลี่ยนแปลง




๑. หลักฐานที่แสดงว่าทวีปต่างๆ เคยเชื่อมต่อกันมีอะไรบ้าง
๒. นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของทวีปอย่างไร ให้อธิบายและยกตัวอย่างหลักฐานหรือข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นเหตุผลสนับสนุน
๓. เพราะเหตุใดปรากฎการณ์ภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหว มักเกิดตามเขตมุดตัวของแผ่นธรณี
๔. รอยคดโค้ง รอยแตก รอยเลื่อนในหิน มีลักษณะเหมือนกันหริอไม่ และเกิดขึ้นได้อย่างไร
๕. จากแนวการเคลื่อนที่ ของแผ่นธรณีต่างๆ จะมีผลต่อภูมิประเทศของโลกอย่างไรในอนาคต

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม

คำถามท้ายบทที่ ๑ โครงสร้างโลก


๑. หินต้นกำเนิดของแมกม่าส่วนใหญ่อยู่บริเวณชั้นเนื้อโลกตอนบน ให้นักเรียนบอกประเภท และส่วนประกอบของหินต้นกำเนิดแมกม่า

๒. คลื่น P และ S มีความแตกต่างกันอย่างไร

อ่านบทความดาราศาสตร์เพิ่มเติม